เกษตรกรที่เสร็จสิ้นการทำนาปีแล้ว นิยมปลูกผักหลังการทำนาเพื่อเป็นรายได้เสริม โดยเฉพาะ “ฟักทอง”
ฟักทอง เป็นพืชที่มีความเหมาะสมในการปลูกช่วงหลังการทำนา เกษตรกรจะประสบความสำเร็จในการผลิตฟักทองให้ได้คุณภาพ จึงต้องศึกษาถึงลักษณะนิสัยของพืชชนิดนี้ ตั้งแต่การปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว การเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม การเตรียมดินก่อนปลูก การให้น้ำ-ปุ๋ย ตลอดจนปัญหาของโรค-แมลงศัตรู เพื่อจะได้หาวิธีป้องกันกำจัด และได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสำหรับ บ้านเราพบว่าฟักทองที่ปลูกเพื่อการบริโภคนั้น ลักษณะของพันธุ์จะมีเปลือกสีเขียวคล้ำ ร่องผลเป็นพูสม่ำเสมอหรือเปลือกขรุขระแบบหนังคางคก ผลที่แก่จัดขึ้นนวลสีขาวตั้งแต่ขั้วไปทั้งผลและนิยมปลูกพันธุ์ผลใหญ่ มีน้ำหนักมากกว่า 4-5 กิโลกรัม หรือผลเล็กมีน้ำหนักผลระหว่าง 2 กิโลกรัม ในปัจจุบันพันธุ์ฟักทองทางการค้าที่เกษตรกรไทยนิยมปลูกจะใช้พันธุ์ลูกผสม เนื่องจากให้ผลผลิตสูงและมีเปลือกแบบหนังคางคกหรือลายข้าวตอก
การเตรียมพื้นที่ปลูกฟักทอง
ฟักทอง เป็นพืชผักที่มีลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้น เช่นเดียวกับแตงโม เป็นไม้เถาอ่อน มีขนสากมือ มีหนวด สำหรับเกี่ยวพันทอดไปตามพื้นดิน จึงต้องการเนื้อที่ปลูกมากกว่าพืชผักอื่นๆ เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ มีอายุปีเดียว (ฤดูเดียว) เมื่อให้ผลแล้วก็ตายไป ฟักทอง จัดเป็นพืชที่มีระบบรากลึก การเตรียมแปลงปลูกจึงต้องไถดินให้ลึก ประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 5-7 วัน เพื่อเป็นการไล่แมลงศัตรูในดินและฆ่าเชื้อโรคบางชนิด ในการเตรียมแปลงปลูก ควรมีการตรวจวัดความเป็นกรด-ด่าง ของดิน ให้มีค่า pH 6.0-6.8 หากดินมีสภาพเป็นกรดควรปรับสภาพโดยใช้ปูนขาวหรือโดโลไมท์ ใส่ระหว่างการเตรียมแปลงปลูก การใช้ปูนขาวหรือโดโลไมท์ในการปรับปรุงสภาพดินจะช่วยลดการเกิดโรครากเน่าโคนเน่าได้ในระดับหนึ่ง ส่วนการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว โดยพิจารณาการใส่ตามความอุดมสมบูรณ์ของดิน ทั้งนี้หากเกษตรกรนำดินส่งวิเคราะห์ (ที่กรมพัฒนาที่ดินในแต่ละจังหวัด) เกษตรกรก็จะทราบว่าที่ดินของตนเองมีปริมาณธาตุอาหารในดินสามารถที่จะทราบถึง ปริมาณธาตุอาหารและอินทรียวัตถุในดิน และควรจะเพิ่มเติมอะไร เท่าไร รวมถึงการเลือกใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่เหมาะสม เป็นต้น เพื่อให้ฟักทองเจริญเติบโตดีขึ้น
หลักการเลือกรูปแบบการปลูก
การเตรียมแปลงปลูกฟักทองสามารถเลือกปลูกได้หลายรูปแบบ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่ปลูกเป็นส่วนสำคัญมาก
วิธีแรก หากมีพื้นที่ปลูกเพียงเล็กน้อย สามารถปลูกระยะ 1.5x1.5 เมตร วิธีนี้เมื่อฟักทองโตขึ้นจะทำให้ลำบากต่อการจัดการ เนื่องจากเถาจะกระจายเต็มพื้นที่ แต่มีข้อดีคือจะได้ผลผลิตต่อพื้นที่มากขึ้น
วิธีที่สอง การปลูกแถวเดี่ยว ทำแปลงแถวเดี่ยวความกว้างของแปลง 1.8-2 เมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 1.5 เมตร เมื่อปลูกฟักทองสามารถจัดเถาฟักทองให้เลื้อยไปในแนวแปลงปลูก ทำให้ง่ายต่อการจัดการมากกว่าวิธีแรก
วิธีที่สาม การปลูกแบบแถวคู่ ยกร่องแปลงเป็น 2 ด้าน ระยะ 3.5-5 เมตร ระยะห่างระหว่างต้น 1.5 เมตร เช่นเดียวกับวิธีที่หนึ่งและวิธีที่สอง วิธีนี้สามารถจัดเถาฟักทองให้เลื้อยจรดกัน 2 ด้านพอดี และมีร่องทางเดินทำให้ทำงานได้สะดวกมากขึ้น
หยอดโดยตรง หรือเพาะกล้า พิจารณาจากต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์
การ เลือกเมล็ดพันธุ์ฟักทองที่ใช้ปลูกกันทั่วไปมี 2 แบบ คือ เมล็ดพันธุ์แบบผสมเปิด ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สามารถเก็บไว้ขยายพันธุ์ต่อได้เอง ปัจจุบันเมล็ดพันธุ์แบบผสมเปิดหาได้น้อยมาก เนื่องจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรซื้อมาปลูกจะเลือกผลิตเมล็ดพันธุ์แบบ ลูกผสม มีลักษณะเด่นในการให้ผลผลิตสูง ขนาดของต้น ผล และการเจริญเติบโตดี แต่มีข้อเสียที่ไม่สามารถนำเมล็ดไปปลูกต่อได้ และเกษตรกรต้องเสียค่าใช้จ่ายกับเมล็ดพันธุ์ฟักทองในราคาแพงมาก ดังนั้น การพิจารณาถึงวิธีการปลูกเพื่อลดต้นทุนในส่วนนี้โดยมีวิธีการเลือกปลูกได้ 2 แบบ ได้แก่
หนึ่ง การปลูกแบบหยอดเมล็ด ก่อนปลูกขุดหลุมปลูก รองก้นด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว หยอดเมล็ด 3-5 เมล็ด กลบด้วยดินผสมละเอียด หรือขี้เถ้าแกลบดำก็ได้ ลึก 2.5-5 เซนติเมตร คลุมด้วยฟางข้าว รดน้ำให้ชุ่มอย่างสม่ำเสมอทุกวันเช้าและเย็น ประมาณ 3-5 วัน ต้นกล้าจะงอกพ้นจากดิน ให้เกษตรกรสังเกตและช่วยแหวกฟางข้าวที่คลุมแปลงที่หลุมปลูกออก ช่วยไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการงอกของต้นกล้าฟักทอง เมื่อต้นกล้าฟักทองมีใบจริง 2-3 ใบ ควรถอนเอาต้นที่อ่อนแอ ดูแล้วไม่แข็งแรงทิ้ง เหลือต้นที่สมบูรณ์ที่สุดไว้เพียง 1 ต้น ต่อหลุม
สอง การปลูกโดยการเพาะกล้า นำเมล็ดฟักทองล้างน้ำสัก 1-2 รอบ จากนั้นแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้สัก 30 นาที จากนั้นนำเมล็ดไปห่อไว้ในผ้าขาวบาง นำเมล็ดไปบ่มไว้ในกล่องพลาสติกใสหรือกระติกน้ำเก่า 3-5 วัน เมื่อเมล็ดจะแตกรากออกมาเล็กน้อย จึงค่อยๆ ย้ายเมล็ดนำไปเพาะในถาดเพาะกล้าที่ใส่วัสดุเพาะกล้า (เช่น มีเดีย) รดน้ำ 10-12 วัน หรือฟักทองมีใบจริง 1-2 ใบ จึงย้ายปลูกได้ ก่อนหยอดเมล็ดหรือนำกล้าลงปลูก ควรหยอดปุ๋ยสูตรเสมอ 19-19-19 อัตรา 5 กรัม หรือรองก้นหลุม พร้อมกับการหยอดสารป้องกันแมลง จากการทดลองของแผนกฟาร์มชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร โดยใช้ “สตาร์เกิล จี” หยอดก้นหลุม อัตรา 2 กรัม ต่อหลุม พบว่า ระยะต้นกล้าของฟักทอง คือช่วงที่ต้นฟักทองทอดยอดยาว ระหว่าง 20-30 เซนติเมตร ฟักทองไม่ถูกทำลายจากแมลงปากดูด และสามารถกำจัดด้วงเต่าแตงที่มาทำลายใบได้ดีมาก นอก จากนี้ ยังได้ให้ปุ๋ยต้นฟักทองในระยะกล้าที่มีใบจริง 3-4 ใบ โดยการนำปุ๋ยเคมี สูตร 46-0-0 อัตรา 800 กรัม+แคลเซียมไนเตรต อัตรา 100 กรัม+ไฮมิค อัตรา 300 ซีซี+สารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น สารเมตาแลกซิล อัตรา 300 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร วิธีใช้ จะใช้การราดโคนต้นฟักทอง อัตรา 300 ซีซี ต่อต้น จะช่วยให้ต้นฟักทองในระยะกล้าแข็งแรง ต้นกล้าที่ใบเหลือง ไม่สมบูรณ์ ฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ให้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนได้
หัวใจสำคัญของการเจริญเติบโตของฟักทองคือ การให้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการให้น้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เนื่อง จากการให้ปุ๋ยที่มากเกินความต้องการของฟักทองจะทำให้ปุ๋ยที่นำไปใช้เพียง เล็กน้อย ส่วนที่เหลือจะระเหยไปกับอากาศ และไหลไปไกลกว่าระดับรากของฟักทอง ดังนั้น การให้ปุ๋ยเหมาะสมกับช่วงของการเจริญเติบโตจะช่วยให้ฟักทองเจริญเติบโตได้ดี ขึ้น การให้ปุ๋ยควรหยอดปุ๋ยสูตรเสมอรองก้นหลุมก่อนปลูก เช่น 19-19-19 อัตรา 5 กรัม ต่อหลุม เพื่อให้เพิ่มปริมาณธาตุอาหารแก่ฟักทองในระยะกล้า เมื่ออายุ 10-14 วัน ใส่ปุ๋ยตัวหน้าสูง เช่น 46-0-0, 15-0-0 อัตรา 10-15 กิโลกรัม ต่อไร่
เมื่อฟักทองอายุได้ 20-25 และ 30 วัน ควรให้ปุ๋ย สูตร 13-13-21 โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งละ 25-30 กิโลกรัม ต่อไร่
เทคนิคการช่วยผสมเกสร
ฟักทอง จะมีดอกสีเหลืองทั้งตัวผู้และตัวเมียจะแยกกัน แต่อยู่ในต้นเดียวกัน ดอกเพศเมียจะเป็นดอกเดี่ยวที่เกิดบริเวณมุมใบ มีกลีบเลี้ยงสีเขียว กลีบดอกมีสีเหลือง 5 กลีบ รังไข่มีลักษณะกลมยาว 2-5 เซนติเมตร มีลักษณะเหมือนผลฟักทองขนาดเล็ก ส่วนของยอดเกสรเพศเมียมี 2-5 แฉก การเจริญเติบโตในระยะแรกการแสดงดอกของฟักทองจะแสดงดอกเพศผู้ ส่วนดอกเพศเมียจะมีตั้งแต่ ข้อที่ 12-15 ดอก ที่เกิดปลายเถาและเถาแขนงมักเป็นดอกเพศเมีย ดังนั้น จึงต้องการช่วยผสมเกสรโดยวิธีธรรมชาติ เช่น ลมพัด หรือแมลงช่วยผสมเกสร หรือให้ผู้ปลูกช่วยผสมเกสรเพื่อการติดผลที่ดี เมื่อดอกฟักทองกำลังบาน ให้เลือกดอกตัวผู้ เด็ดมาแล้วปลิดกลีบดอกออกให้หมด นำไปเคาะละอองเกสรตัวผู้ให้ตกลงบนดอกตัวเมีย ถ้าติดผลก็จะให้ผลอ่อนถ้าไม่ติดผลดอกตัวเมียจะฝ่อไป ดอกฟักทองจะบานแค่ 1 วัน ในช่วงเช้ามืด พอแดดแรงช่วง 09.00 น. เป็นต้นไป ก็จะเริ่มหุบ หากจะผสมเกสรควรเริ่มผสมในช่วงเช้าๆ เพราะเมื่อบ่ายดอกฟักทองจะเริ่มเหี่ยวแล้วจะเฉาตาย ในวันรุ่งขึ้นดอกก็จะเฉาตายไป สำหรับเกษตรกรที่ปลูกฟักทองในเชิงพาณิชย์ ปลูกเพื่อเป็นรายได้เสริม หรือปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือน มีความจำเป็นจะต้องผสมเกสรและมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการออกดอกของฟักทอง ดอกเพศเมียและเพศผู้จะบานในตอนเช้า จะบานในช่วงเวลา 03.30-06.00 น. อับเรณูจะแตกระหว่างเวลา 21.00-03.00 น. ละอองเรณูจะมีชีวิตอยู่ได้ 16 ชั่วโมง หลังอับเรณูแตกยอดเกสรเพศเมียพร้อมรับการผสมเกสรก่อนดอกบาน 2 ชั่วโมง และหลังดอกบาน 10 ชั่วโมง ดังนั้น ช่วงเวลาที่มีความเหมาะสมในการผสมเกสรคือ ตั้งแต่เวลา 06.00-09.00 น.
การให้น้ำฟักทอง
ฟักทอง เป็นพืชที่มีระบบรากลึก การให้น้ำจึงต้องให้น้ำซึมลงใต้ดินประมาณ 25-40 เซนติเมตร แต่ไม่ควรให้แปลงแฉะ จะทำให้เกิดโรครากเน่าโคนเน่าได้ การเลือกรูปแบบการให้น้ำแก่ฟักทองควรพิจารณาถึงสภาพพื้นที่ หากพื้นที่ปลูกฟักทองอยู่ใกล้ระบบชลประทานหรือมีคลองส่งน้ำที่ดี สามารถเลือกการให้น้ำแบบปล่อยเข้าร่องแปลง พื้นที่ ที่มีน้ำเป็นคลองหรือสระน้ำที่มีน้ำจำกัด สามารถให้น้ำแบบสายยางรด หรือให้น้ำแบบน้ำหยด (เป็นวิธีที่มีการทำแปลงด้วยพลาสติกคลุมแปลง) แต่การให้น้ำแบบพ่นฝอยเป็นวิธีที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากการให้น้ำแบบพ่นฝอยทำให้ฟักทองเกิดโรคทางใบได้เร็วมากขึ้น
โรคและแมลงศัตรูที่ทำความเสียหาย
ปัญหา ของการเกิดโรคในฟักทองเป็นสิ่งที่ไม่สร้างความลำบากใจให้เกษตรกรมากนัก หากมีการจัดการระบบการปลูกที่ดี โรคต่างๆ ก็ไม่สามารถทำความเสียหายได้ เช่น การเตรียมดินก่อนการปลูกที่ดีจะช่วยป้องกันการเกิดโรครากเน่า-โคนเน่าได้ โดย การใช้โดโลไมท์โรยในแปลงระหว่างการเตรียมแปลง ใช้ปุ๋ยคอก-ปุ๋ยหมักเพื่อปรับสภาพดินให้ร่วนซุยเพื่อให้รากทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงการไม่ปลูกพืชตระกูลแตงซ้ำที่กันบ่อยๆ หรือปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อปรับสภาพดินสลับการปลูกฟักทองหรือพืชตระกูลแตง การเกิดโรคทางใบ ได้แก่ โรคราน้ำค้าง ที่มักระบาดในช่วงฤดูฝน หรือการให้น้ำแบบพ่นฝอย วิธีแก้ไขโดยการตัดต้นที่เป็นโรคเผาทำลาย ไม่ให้น้ำแบบพ่นฝอย ใช้สารป้องกันโรคพืช เช่น แอนทราโคล ปริมาณ 40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร, โรคราแป้ง มักระบาดรุนแรงเมื่อสภาพอากาศเย็น ใบพืชแห้งในเวลากลางคืน นอกจากนี้ ปัญหาแมลงศัตรูฟักทองนั้นมีไม่มากนัก เพราะใบและก้านที่มีขนช่วยในการป้องกันภัยจากแมลงได้ดี ทั้งนี้แมลงศัตรูฟักทอง ได้แก่ ด้วงเต่าแตง แมลงปากดูด และแมลงหวี่ขาว หากไม่มีการระบาดรุนแรงใช้สารเคมีที่สามารถควบคุมแมลงได้หลายชนิด เช่น เซฟวิน 85 ปริมาณ 20-30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (ไม่ควรใช้อัตราสูงกว่านี้ อาจจะทำให้ใบไหม้) ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน ส่วน เพลี้ยไฟ เป็นแมลงขนาดเล็กมาก ระบาดในฤดูแล้ง ตัวอ่อนจะมีสีแสด ตัวแก่จะเป็นสีดำ ตัวเล็กขนาดเท่าปลายเข็ม มันจะดูดน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อนและใต้ใบอ่อน ทำให้ยอดหดสั้น ปล้องถี่ยอดชูตั้งขึ้น หรือเรียกว่า “โรคยอดตั้ง” ฉีดป้องกันโดยใช้ยาไฟท์ช็อท หรือเบโนมิล ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน โดยควรงดการฉีดพ่นก่อนการเก็บเกี่ยว 15 วัน
การเก็บเกี่ยวผลผลิตฟักทอง
เก็บ เกี่ยวเมื่อผลขึ้นนวลเต็มผลตั้งแต่ขั้วไปจนตลอดก้นผล แสดงว่าแก่จัด ฟักทองที่เนื้อเหนียว มัน รสชาติหวานจะต้องแก่จัด ถ้าเก็บฟักทองไม่แก่เมื่อเอาไปทำอาหารเนื้อจะเละ
การ ตัดควรเหลือขั้วติดไว้สักพอประมาณหรือไว้พอจับสะดวกโดยอย่าให้ขั้วหักซึ่งจะ ส่งผลต่อราคาจะถูกโดยทันที เพื่อช่วยให้การเก็บรักษาได้นานขึ้น สามารถเก็บผลไว้รอขายหรือบริโภคไว้นานๆ โดยไม่ต้องใส่ตู้เย็นหรือสังเกตว่าเถาแห้ง หรือนับอายุหลังจากผสมติดแล้ว 35-40 วัน
หาก ฟักทองเกิดบาดแผลจะทำให้โรคเข้าทำลาย ผลผลิตเสียหายหรือเน่าได้ง่ายมาก เกษตรกรต้องเก็บผลผลิตด้วยความระมัดระวัง ไม่เกิดการบอบช้ำจะทำให้ยืดอายุการเก็บรักษาได้นานหลายเดือน
เครดิต : http://www.technologychaoban.com
Short URL :