ดอกสีแดงน้ำหมาก ขนาดดอกประมาณ 6 ซม. เริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 60 วันหลังหยอดเมล็ด ดอกบานอยู่เป็นเวลานานหลายวัน ขนาดทรงพุ่มประมาณ 25-30 ซม. ปลูกได้ทุกฤดูกาล และควรมีการเด็ดยอดเพื่อให้ทรงพุ่มแน่น เมื่อต้นมีใบจริง 3 คู่ใบ
การเตรียมดินปลูกสำหรับลงแปลง
- ไถพรวนและพลิกหน้าดินตากไว้ประมาณ 7-10 วัน นำเศษพืชออกจากแปลงปลูก และหว่านปูนขาวโดโลไมท์อัตรา 200-400 กก./ไร่ เพื่อปรับสภาพดิน
- ใส่ปุ๋ยอิทรีย์เพื่อปรับสภาพดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี และเพิ่มแร่ธาตุในดิน จากนั้นตีพรวนดินให้ละเอียด
- ขึ้นแปลงปลูก ขนาด 1.20 เมตร สำหรับแปลงคู่ และ 70-80 ซม. สำหรับแปลงเดี่ยว คลุมด้วยพลาสติกสองหน้าสีดำ-เงิน โดยสีเงินอยู่ด้านบน
สูตรดินผสมสำหรับย้ายปลูกลงกระถาง
- ดินร่วน 1 ส่วน
- แกลบดิบ 2 ส่วน
- แกลบดำ 1 ส่วน
- ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
- โดโลไมท์ เพื่อปรับสภาพดิน 0.5 กิโลกรัม
- ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 อัตรา 250 กรัม
การเพาะเมล็ดดาวเรืองที่นิยมมี 2 วิธี
การเพาะเมล็ดในตะกร้า
- เพาะเมล็ดในตะกร้าพลาสติก ขนาด 29 x 36 เซนติเมตร หรือใหญ่กว่านี้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนเมล็ดที่ใช้เพาะ
- ตัดกระดาษหนังสือพิมพ์วางรอบตะกร้าโดยตัดกระดาษให้พอดีกับขอบตะกร้าเพื่อป้องกันวัสดุเพาะร่วงแล้วนำวัสดุเพาะใส่ตะกร้าประมาณ ¾ ของความสูงตะกร้า
- ใช้ไม้บรรทัดเกลี่ยผิววัสดุให้เรียบ ทำร่องรูปตัววีลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างร่องประมาณ 3 เซนติเมตร
- หยอดเมล็ดดาวเรืองลงในร่องอย่าให้แน่นเกินไปแล้วกลบเมล็ดหนาประมาณ 0.4 เซนติเมตร ยกตะกร้าเข้าโรงเรือนป้องกันฝน
- ดูแลรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้วัสดุเพาะมีความชื้นเพียงพอ เมื่อต้นกล้าอายุ 6-7 วัน (มีใบเลี้ยง 2 ใบ) จึงย้ายต้นกล้าลงถาดหลุมต่อไป
การเตรียมเพาะเมล็ดในถาด
-
เตรียมน้ำสำหรับผสมวัสดุเพาะโดยผสม โพรพาโมร์คาร์บ อัตรา 0.4 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือเมทาแลกซิล เพื่อป้องกันโรคเน่าคอดิน
-
ผสมน้ำที่เตรียมไว้กับพีทมอส โดยค่อยๆเติมน้ำทีละน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นลองบีบวัสดุเพาะเพื่อทดสอบว่า น้ำเข้ากับวัสดุเพาะได้ดีหรือไม่ หากบีบน้ำแล้วมีน้ำออกมาเล็กน้อยตามร่องมือ และวัสดุเพาะเกาะกันเป็นก้อนดีถือว่าใช้ได้ หากมีน้ำไหลออกมามากเกินไป ให้ผสมวัสดุเพาะเพิ่ม หรือไม่มีน้ำซึมออกมาแสดงว่าน้ำน้อยเกินไป ให้เพิ่มน้ำและบีบทดสอบอีกครั้ง
-
นำวัสดุเพาะที่เตรียมไว้ใส่ถาดเพาะให้เต็มหลุม กระแทก ถาดเพาะ 1 ครั้งเพื่อให้วัสดุเพาะลงถึงก้นหลุม เติมวัสดุเพาะให้เต็ม แล้วปาดหน้าดินถาดเพาะให้เรียบ พอดีกับหลุมนำถาดเพาะเปล่ามาวางบนถาดเพาะที่ใส่วัสดุเพาะแล้ว จากนั้นกดถาดเปล่าเพื่อทำหลุม โดยหลุมที่กดควรมีขนาดลึกพอดีกับเมล็ดดาวเรืองฝรั่งเศส ประมาณ 0.5 ซม.
-
ทำการหยอดเมล็ดพันธุ์ดาวเรืองเศส 1 เมล็ดต่อ 1 หลุม นำวัสดุเพาะที่ยังไม่ได้ผสมน้ำมาใส่ตะกร้าเพื่อร่อนกลบเมล็ดโดยกลบให้มิดเมล็ด เนื่องจากเมล็ด ดาวเรืองฝรั่งเศส ไม่ต้องการแสงในการงอก และเป็นการรักษาสภาพความชื้นในการงอกของเมล็ด
-
พ่นสารเคมี โพรพาโมคาร์บ อัตรา 1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือเมทาแลกซิล 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร พ่นให้ทั่วถาด เพื่อป้องโรคเน่าคอดินอีกครั้งนำถาดเข้าไปในบริเวณที่พรางแสง 80%-90% และรักษาความชื้นโดยการพ่นน้ำ อย่าให้ถาดเพาะแห้งจนเกินไปเพราะจะทำให้เมล็ดไม่งอกหรือแฉะจนเกินไป อาจทำให้เป็นโรคเน่าคอดินในระยะงอกของเมล็ด
-
การรดน้ำควรรดในช่วงเช้า หรือสังเกตุเห็นว่าดินแห้ง หากให้น้ำมากเกินไป จะก่อให้เกิดความชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเชื้อราที่จะตามมา การรดน้ำควรใช้หัวสเปรย์ขนาดเล็ก เพื่อป้องกันในช่วงเพาะกล้าเมล็ดกระจายออก นอกถาด
การย้ายปลูกลงแปลง
-
เมื่อต้นกล้าอายุ 15-20วัน หรือมีจำนวนใบจริง 2-3 คู่ใบ ย้ายลงแปลงปลูก ควรย้ายช่วงเย็น ( แดดไม่แรง ) เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำของต้นกล้าส่งผลให้ต้นกล้ามีการตั้งตัวได้ดีหลังการย้ายปลูก
-
ก่อนย้ายปลูกงดน้ำในถาดเพาะ 1 วัน เพื่อให้ดินเกาะรากต้นกล้าได้ดีขึ้น ตุ้มไม่แตกเมื่อนำมาลงปลูก โดยก่อนย้ายต้องให้น้ำในแปลงปลูกอย่างเพียงพอ ไม่แห้งหรือแฉะจนเกินไป
-
การวางสายน้ำหยดควรตรวจสอบด้วยว่า สายน้ำหยดต้องอยู่ตรงกับรอยเจาะรูของพลาสติก เพื่อที่น้ำจะหยดลงในจุดที่ปลูกต้นกล้าด้วย ซึ่งจะทำให้ต้นกล้าได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
-
ควรทำการเด็ดยอดดอกดาวเรืองหลังการย้ายปลูกประมาณ 10 – 15 วัน ต้องมีใบจริงอย่างน้อย 3 คู่ เด็ดยอดออก 1 คู่ โดยใช้มือด้านหนึ่งจับข้อที่ต้องการเด็ด และโน้มกิ่ง ด้านบนลงจนหักชิดข้อที่จับ ช่วยในการแตกทรงพุ่ม แนะนำให้เด็ดยอดเพื่อให้ลำต้นสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ออกดอกเร็วจนเกินไป
การย้ายปลูกลงกระถาง
-
เมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 15-20 วัน หรือมีจำนวนใบจริง 2-3 คู่ใบ ย้ายปลูกลงถุงหรือกระถาง
-
ไม่ควรย้ายต้นกล้าที่มีอายุมาก เกินไปเพราะระบบรากจะแผ่กระจายได้ช้า เนื่องจากระบบรากนั้นแก่เกินไป ดังนั้นควรย้ายกล้า ในขณะที่รากยังไม่แก่เกินไปจะทำให้รากของต้นกล้ามีการพัฒนาได้ดีกว่า การหาอาหารของราก ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
เจาะหลุมในวัสดุปลูก ให้ลึกพอสมควร แล้ววางต้นกล้าลงไปให้ลึกจนชิดใบเลี้ยง
-
แล้วกลบหลุมเพื่อป้องกันต้นกล้าหักล้ม และเพื่อพัฒนาระบบรากให้มีมากยิ่งขึ้น แล้วรดน้ำตามทันที
-
ช่วงเวลาที่เหมาะสม แก่การย้ายปลูกคือช่วง เย็น (แดดไม่แรง) เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำของต้นกล้า ส่งผลให้ต้นกล้ามีการตั้งตัวได้ดี หลังการย้ายปลูก
-
ควรทำการเด็ดยอดดอกดาวเรืองหลังการย้ายปลูกประมาณ 10 – 15 วัน ต้องมีใบจริงอย่างน้อย 3 คู่ เด็ดยอดออก 1 คู่ โดยใช้มือด้านหนึ่งจับข้อที่ต้องการเด็ด และโน้มกิ่ง ด้านบนลงจนหักชิดข้อที่จับ ช่วยในการแตกทรงพุ่ม แนะนำให้เด็ดยอดเพื่อให้ลำต้นสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ออกดอกเร็วจนเกินไป
การดูแลรักษา
การให้น้ำ
ในช่วงแรกคือตั้งแต่เริ่มปลูกถึงอายุ 7 วัน ควรให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หลังจากนั้นให้วันละครั้ง แค่ตอนเช้าก็พอ และในช่วงดอกเริ่มบานจะต้องระวังอย่าให้น้ำถูกดอกดาวเรือง เพราะจะทำให้ดอกเสียหายและเชื้อโรคเข้าทำลายได้ง่าย
การให้ปุ๋ย
- หลังจากย้ายปลูก 7- 10 วัน ช่วงเสริมสร้างการเจริญเติบโตของราก ลำต้นและใบ ให้ปุ๋ยสูตร 15-0-0 หรือ 25-7-7 ในอัตรา 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ 20 ลิตร รดทุกๆ 5-7 วัน ประมาณ 2-3 ครั้ง
- หลังจากย้ายปลูก 30-35 วัน ช่วงการเจริญโตถึงระยะสังเกตุเห็นตุ่มดอก ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 75 กรัม หรือ 5 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ 20 ลิตร รดทุกๆ 5-7 วัน จนกระทั่งดอกเริ่มบาน
- เมื่อดอกเริ่มบาน ให้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 75 กรัม หรือ 5 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ 20 ลิตร รดทุกๆ 5-7 วัน ต่อเนื่องตลอดอายุการให้ดอก
การเก็บเกี่ยว
- ดอกดาวเรืองฝรั่งเศส เริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 60 วันหลังหยอดเมล็ดลงถาดเพาะ หรือให้สังเกตจากดอกที่ยังมีกลีบดอกตรงกลางเป็นสีเขียว ดอกดาวเรืองฝรั่งเศสหลังดอกบาน สามารถอยู่ได้หลายวัน ดอกดาวเรืองฝรั่งเศสจะค่อยๆถยอยบาน อยู่ได้นานกว่าดอกที่บานทั้งหมด อายุ 55-60 วัน ดอกดาวเรืองฝรั่งเศสจะเริ่มออกดอก นับตั้งแต่วันหยอดเมล็ด
โรคที่สำคัญของดาวเรือง และ แมลงศัตรูสำคัญของดาวเรือง
-
โรคใบจุด
ลักษณะอาการ : ใบเริ่มมีอาการจุดสีขาวแล้วเนื้อเยื่อตรงกลางแผลจะแห้งและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเนื้อใบที่มีแผลจะค่อยๆ แห้งร่วงหล่นทำให้ลำต้นทรุดโทรม
การป้องกัน : ระมัดระวังการให้น้ำเนื่องจากเชื้อสามารถแพร่กระจายในละอองน้ำได้
สารเคมีที่ใช้ : คลอโรธาโลนิล , แมนโคเซบ , ไอโพรไดโอน , ไดฟีโคลนาโซน
หมายเหตุ : โรคนี้จะระบาดในฤดูฝนในสภาพอากาศที่มีความชื่นสูงๆ
-
โรคดอกเน่า
ลักษณะอาการ : ระบาดหนักในช่วงฤดูฝนหากเกิดในช่วงดอกกำลังบานจะทำให้ดอกเกิดอาการไหม้ และไม่สามารถบานได้หากเชื้อเข้าทำลายในระยะดอกบานจะทำให้กลีบดอกมีสีน้ำตาล
การป้องกัน : มัดระบาดในช่วงที่มีอากาศร้อนชื้น เช่น มีฝนตกสลับกับแดดออก
สารเคมีที่ใช้ : คลอโรธาโลนิล , มาเนบ , ซีเนบคาร์เบนดาซิม
หมายเหตุ : โรคนี้จะระบาดในช่วงฤดูฝนและในสภาพอากาศที่มีความชื่นสูง
-
โรคเหี่ยวเหลือง
ลักษณะอาการ : เริ่มจากใบดาวเรืองที่มีอยู่บริเวณ โคนต้นแสดงอาการใบเหลืองจะแห้งตายใบทั้งต้น ส่วนของลำต้นจะแบนเหี่ยวและลำต้นลีบ บริเวณคอดินหรือเหนือดิน มักมีสีแดงคล้ำกว่าส่วนอื่น
การป้องกัน : หากพบโรคระบาดให้ขุดต้นถอนทิ้งและพยายามอย่าให้น้ำผ่านบริเวณที่เกิดโรค
สารเคมีที่ใช้ : เบโนมิล , ไธโอฟาเนททิล , อีทรีไดอาโซล
หมายเหตุ : การปลูกแบบยกร่องแปลงจะช่วยควบคุมการระบาดของโรคได้
-
โรคเหี่ยวเขียว
ลักษณะอาการ : เริ่มจากใบดาวเรืองที่อยู่บริเวณด้านบนแสดงอาการเหี่ยวสลดคล้ายอาการขาดน้ำโดยต้นจะแสดงอาการเหี่ยวในช่วงกลางวันที่มีแสงแดด ส่วนตอนเช้าและตอนเย็นต้นจะมีอาการปกติและหลังจากนั้น 4 – 5 วัน ต้นดาวเรืองจะตายโดยที่ใบยังมีสีเขียวอยู่
การป้องกัน : หากพบโรคระบาดให้ขุดต้นถอนทิ้งและพยายามอย่าให้น้ำผ่านบริเวณที่เกิดโรค
สารเคมีที่ใช้ : สเตปโตมัยซิน 120 กรัม ผสมเมทาแลกซิล 25 % 200 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตรรดโคนต้น
หมายเหตุ : การปลูกแบบยกร่องแปลงจะช่วยควบคุมการระบาดของโรคได้
แมลงศัตรูสำคัญของดาวเรือง และการป้องกันกำจัด
-
หนอนชอนใบ
ลักษณะอาการ : ทำลายใบอ่อน พบการระบาดรุนแรงมากตัวหนอนที่ฟักจากไข่ไชชอนเป็นทางยาวหรือสร้างอุโมงค์กัดกินและขับถ่ายอยู่ภายใน รอยทำลายของหนอนชอนใบชนิดนี้มีความยาวโดยเฉลี่ย 17.5 ซม. ใบที่ถูกทำลายแสดงลักษณะแคระแกนบิดเบี้ยว
การป้องกัน : การเพิ่มสารเคมีป้องกันกำจัดควรพ่นในช่วงระหว่าง 6.00 – 9.00 น.
สารเคมีที่ใช้ : คาร์แทป , ไบเฟนทริน , พิโพรนิล
หมายเหตุ : ระบาดในช่วงที่ย้ายปลูกใหม่ ๆ ก่อนเด็ดยอด
-
หนอนกัดดอก
ลักษณะอาการ : หนอนจะกัดกอนดอกจนกลีบดอกร่วงเสียหายโดยเข้าทำลายขณะที่ดอกดาวเรืองเริ่มบาน
การป้องกัน : สังเกตุที่มีผีเสื้อบินในแปลงมากๆ เนื่องจากการวางไข่เป็นตัวหนอน
สารเคมีที่ใช้ : เมโทมิล , อะบาแมกติน (โซนิคติน ) , ไซเพอร์เมทริน
หมายเหตุ : ระบาดในช่วงที่ตุ้มดอก
-
เพลี้ยไฟ
ลักษณะอาการ : จะเข้าทำลายและดูดกินที่ยอดอ่อนทำให้ใบหงิกงอและไม่แตกใบใหม่จะเห็นมีรอยขีดตามใบหรือกลีบเลี้ยงของดอก
การป้องกัน : พยายามรักษาความชื้นในแปลงปลูกให้สม่ำเสมอ
สารเคมีที่ใช้ : เบนฟูราคาบ , พิโพรนิล , ฟอร์มิธาเนล
หมายเหตุ : มักระบาดในช่วงหลังเด็ดยอด
-
ไรแดง
ลักษณะอาการ : พบมากในช่วงฤดูร้อนโดยไรแดงจะมีลักษณะคล้ายแมงมุมขนาดเล็กมากสีแดงมีระบาดปริมาณมากสร้างใยแมงมุมใบพืชที่โดนทำลายจะแสดงอาการเป็นจุดเป็นด่างสีเหลือง
การป้องกัน : พยายามรักษาความชื้นในแปลงปลูกให้สม่ำเสมอ
สารเคมีที่ใช้ : อะมิทราซ , ไดโคไฟ
หมายเหตุ : มักระบาดในช่วงหลังเด็ดยอด